ปลูกพลับพลึงธาร ตลุยสายน้ำ ชมความงามน้ำตกสายรุ้งละอองดาว
หากพูดถึงระนอง อย่างแรกก็ต้องนึกถึงทะเลสวยๆ ฝั่งอันดามัน หรือไม่ก็ที่เที่ยวชิวๆ ในเมืองที่มีประวัติมากมายให้ได้ไปสัมผัส รวมถึงอาหารเลิศรส แต่จะมีสักกี่คนรู้ว่าป่าระนองก็น่าเดินเช่นกัน ซึ่งบอกเลยว่าเป็นเอกลักษณ์สุดๆ เพราะเราจะได้เดินทั้งป่า ลุยทั้งน้ำ นอนเปล และแช่น้ำตกจนหนำใจแน่นอน แค่ดูรูปก็น่าสนุกละ การได้ไปเจอของจริงสนุกยิ่งกว่า
“เรา คิดว่า เราค้นพบ แนวทางของเราแล้ว”
“อาสาเที่ยว แค่ อยากให้คนไปเที่ยว ได้อะไร มากกว่า แค่ไปเที่ยว”
เราแค่ต้องเตรียมตัวในการไประนองในครั้งนี้มากกว่าทุกครั้ง เพราะมันไม่ชิว และเป็นการเดินป่าที่ต้องอยู่กับน้ำ ของต้องแพ็คของอย่างดีไม่ให้เปียกระหว่างทาง แม้ว่าจะกังวลเล็กน้อยแต่ทุกคนสามารถรับมือกับมันได้ เพราะเราจะเดินไปพร้อมๆ กัน และช่วยเหลือกัน
กางแผนที่
เรามุ่งหน้าออกจากกรุงเทพฯ ไปยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา อ.สุขสำราญ จ.ระนอง เพื่อร่วมกิจกรรมตามหาพลับพลึงธาร เที่ยวเท่ๆ ด้วยใจอนุรักษ์ ที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา จัดขึ้น
ผู้คนทยอยมาที่นี่เรื่อยๆ หลากหลายอาชีพ และอายุ แสงแดดเริ่มแรงขึ้นแต่พวกเราก็ยังสู้ นำอุปกรณ์กันแดดออกมาป้องกันอย่างดี และหลังจากที่พิธีเปิดเริ่มขึ้น พวกเราก็ทยอยเดินไปเป็นแถวตอนเรียงหนึ่งรับพลับพลึงธารเพื่อนำไปปลูกในน้ำ ซึ่งอยู่ข้างในป่า
พลับพลึงธารจะขึ้นได้ดีในอุณหภูมิของน้ำประมาณ 18-28 องศาเซลเซียส ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำระหว่าง 5.5-9 และเป็นพื้นที่ที่มีต้นน้ำอุดมสมบูรณ์ เป็นลำคลองที่มีน้ำใสสะอาด และมีการไหลเวียนของน้ำดี แต่กระแสน้ำจะไม่แรงมากเกินไป
แม้ว่าจะมีคนเรียกว่า หอมน้ำ เพราะหัวของพืชชนิดนี้มีลักษณะคล้ายหัวหอม แต่คนในท้องถิ่นเรียกว่า “หัวหญ้าช้อง” แต่ปัจจุบันกลับนิยมเรียกว่าพลับพลึงธาร มากกว่าเพราะมีดอกคล้ายดอกพลับพลึง แต่ขึ้นอยู่ในน้ำ
ทีละก้าว ทีละก้าว
เหตุที่เราต้องมาช่วยกันปลูก “พลับพลึงธาร” เพราะเป็นพืชน้ำที่สวยงามและหายาก โดยพบได้เฉพาะที่จังหวัดระนองตอนล่างและพังงาตอนบน เป็นพืชเฉพาะถิ่น ปัจจุบันเหลือแค่ร้อยละ 1 เท่านั้น และอยู่อย่างกระจัดกระจาย จึงได้ขึ้นเป็นบัญชีพืชที่ใกล้สูญพันธุ์ของโลก เมื่อปี ค.ศ. 2011 สาเหตุของการลดลงเนื่องจากมีการเก็บหัวเพื่อนำไปจำหน่ายเป็นพืชน้ำประดับ และจากการขุดลอกคลองเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม จนทำให้ลดหายไปจำนวนมาก
เราเดินฝ่าแดดจนข้ามสะพานไปสักพักก็เข้าเขตป่า ที่มีต้นไม้ต้นใหญ่มากมาย เจอต้นไผ่เป็นระยะๆ รอบข้างบรรยากาศดีมาก ได้รับไอเย็นจากป่า และลำธาร เราเดินไปคุยไป จนถึงจุดที่ปลูกแบบไม่ทันรู้ตัว ซึ่งแต่ละคนก็เลือกจุดปลูกตามที่เจ้าหน้าป่าไม้ที่แนะนำ พลับพลึงธารนั้น ถือว่าเป็นดรรชีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของน้ำและลำคลอง จนได้รับฉายาว่าเป็น “ราชินีแห่งสายน้ำ”
แม้ว่าการปลูกดูเหมือนจะง่าย แต่พอลงมือทำจริงๆ มันไม่ง่ายเลยเพราะต้องปลูกในน้ำ แต่ละคนก็พยายามที่จะปลูกเพื่อไม่ให้เปียก แม้ว่าน้ำจะสูงแค่เข่าแต่การก้มลงไปปลูกหลายคนก็ดูทุลักทุเลไปหน่อย
ต้นไม้ที่ทุกคนถือมาคนละต้น สองต้นถูกแกะถุงดำออกและพยายามขุดดินในน้ำ เพื่อให้หลุมลึกพอที่จะวางพลับพลึงธารลงไปได้ และใช้ดินกลบอีกรอบ ก็เลยทำให้หลายคนเลือกที่จะแช่ลงไปในน้ำเพื่อปลูก ซึ่งนั่นก็ยิ่งสนุกมากในการปลูกพืชชนิดนี้ ปลูกไปได้เล่นน้ำไป โดยเราก็หวังว่าต้นที่เราปลูกมันจะโต และอยู่รอดจนถึงออกดอกสีขาว บานสะพรั่งในช่วงหน้าแล้ง ประมาณปลายเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม
ลักษณะของพืชชนิดนี้จะมี 6 กลีบ ก้านชูดอกหนึ่งๆ จะมีหลายก้านดอก มีก้านเกสร 6 อัน มีเกสรสีเหลืองที่ปลายก้าน ใบเป็นสีเขียวเรียวยาวเหมือนริบบิ้น ซึ่งความยาวขึ้นอยู่กับระดับน้ำ บางพื้นที่ที่น้ำลึกใบอาจจะยาวได้ถึง 4 เมตรเลยทีเดียว
เราปลูกเสร็จก็เที่ยงพอดี เรากลับมาที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา เพื่อกินมื้อเที่ยงร่วมกัน หลังจากนั้นช่วงบ่ายเราก็ร่มประชุมกันหลายๆ ฝ่ายกับเจ้าหน้าที่ของที่นี่ เสนอแนะแสดงความคิดเห็นร่วมกัน ช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ กว่าจะเสร็จก็เย็นพอดี
หลังจากแยกย้ายกันเราก็ขนของขึ้นไปเก็บบนที่พักของที่นี่ก่อนที่จะออกไปเดินเล่นที่ตลาดใกล้ๆ แถวนั้น ซึ่งก็ใหญ่พอสมควร มีทั้งของกินของใช้ และเสื้อผ้า ซึ่งมีหลายอย่างที่ไม่คุ้นตาเราเลยโดยเฉพาะของกิน ขนาดทุเรียนที่เรารูจักยังไม่เหมือนที่เราเคยกิน เพราะที่นี่มีของพื้นถิ่นหลายอย่างเลย
เรากลับมาที่พัก อาบน้ำและลงมากินมื้อเย็นที่จัดเตรียมรอเราไว้แล้ว ซึ่งเป็นเมนูง่ายๆ อย่างปลาทอด ผัดผัก แกงใต้รสเด็ดที่ทำให้เราเติมข้าวแก้เผ็ดกันอีกคนละรอบ สองรอบ
หลังจากเตรียมที่นอนกันพร้อมแล้วบางคนก็ยังไม่ยอมนอน ขอมาร์คหน้า และกินทุเรียนที่ต้องออกไปกินนอกห้อง เพราะกลิ่นแรงมาก แต่คนกินนี่ไม่ต้องพูดถึง กัดไปคำแรกก็หน้าฟินละ
รุ่งเช้าเราตื่นกันตั้งแต่เช้า เพื่อเก็บของและขึ้นรถแวะกินมื้อเช้าที่ตลาดบน อ.กะเปอร์ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังสำนักงานหน่วยพิทักษ์ป่าบ้านนา จุดนัดพบเจ้าหน้าที่เพื่อเปลี่ยนรถจากจุดนี้ ซึ่งเราใช้เวลาไม่นานเหมือนตอนที่มา กว่าจะถึงหลงก็หลงไปหลงมา หลังกระบะอัดแน่นไปด้วยพวกเราและเจ้าหน้าที่อีก จนแน่นลงตัวพอดี นั่งชมวิวไปเรื่อยๆ ก็ถึง
พอรถจอดตรงจุดที่จะเริ่มเดิน เราก็แบกเป้ขึ้นหลังพร้อมที่จะลุยกันแล้ว โดยมีเจ้าหน้าที่เดินนำและปิดท้าย ช่วงแรกที่เดินเข้าป่าไปก็คล้ายกับเดินป่าในหลายๆ ที่ คิดในใจว่าก็คงไม่ต่างจากที่อื่นเท่าไร แต่พอยิ่งเดินเข้าไป เรื่อยๆ ทางแฉะมากขึ้นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก ซึ่งหลายคนก็พยายามหาทางเดินที่จะไม่ทำให้เท้าเลอะ เบี่ยงไปทางซ้ายที ขวาที เหยียบกิ่งไม้ ข้ามต้นกล้วย
เดินตามกันไปเรื่อยๆ ผ่านป่าไผ่ หลบหลีกหนาม จนมาเจอต้นไม้ใหญ่ที่ทำให้เราตะลึงกับความใหญ่โตของต้นสมพงษ์ เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่มาก สูง ๒๐-๔๐ เมตร จะผลัดใบให้หมดก่อนที่จะออกดอก ตรงโคนเป็นพูพอนขนาดใหญ่ เปลือกสีเทาอมชมพู เรียบเป็นมัน หนามาก หลังจากที่ใช้เวลากับตรงนี้นาน ทำให้อีกกลุ่มที่เดินนำหน้าไปก่อนหายลับตาเราไปแล้ว
ในขณะที่เราเดินตามทางเรียบน้ำไปเรื่อยๆ เราได้ยินเสียงอีกกลุ่มเรียกอยู่อีกฝั่ง นี่ถึงเวลาที่เราต้องลุยน้ำจริงๆ แล้วใช่ไหม ไม่มีทางหลีกได้แล้วจริงๆ ทำได้แค่เพียงเดินริมๆ ที่น้ำยังไม่ลึกมาก
แต่สุดท้ายการเดินข้ามไปอีกฝั่งน้ำตรงกลางก็ค่อยๆ ลึกขึ้นเรื่อยๆ จากตาตุ่มขึ้นมาถึงเข่าเลยขึ้นมาเกือบถึงเป้ากางเกง ช่วงไหนน้ำนิ่งๆ ก็ค่อยเดินกันข้ามไปเอง แต่พอหลังจากที่เปียกแล้วเราก็เดินข้ามน้ำกันไปเรื่อยๆ บางช่วงนี่ต้องจับมือกันเพื่อข้ามไปอีกฝั่งเพราะน้ำค่อนข้างแรงและหินก็ทำให้ลื่น
ตลอดการเดินทางจะมีพี่ๆ เจ้าหน้าที่เดินไปพร้อมๆ กันกับเรา และช่วยเราไปตลอดทาง ตรงไหนน้ำไม่สูงและไม่แรงเราก็เดินข้างๆ กันไป แต่ถ้าตรงไหนน้ำแรงและการเดินข้ามค่อนข้างยาก พี่ๆ เขาจะยืนช่วยเหลือเราอยู่เป็นจุดๆ ซึ่งจำนวนคนน้อยกว่านักท่องเที่ยวอยู่แล้ว ฉะนั้นใครที่แข็งแรงก็จะมาช่วยกันเพื่อให้การเดินทางราบรื่น และป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับทุกคนในทีม
เราเดินผ่านไปได้ประมาณครึ่งทางก็แวะพักกันอย่างจริงจังและนานกว่าทุกครั้ง ใครหิวก็สามารถกินข้าวเที่ยงตรงนี้ได้เลย ส่วนใครจะลงเล่นน้ำก็ไม่ว่ากัน ไหนๆ ก็เปียกอยู่แล้วจะเปียกทั้งตัวก็คงจะไม่เป็นไร
หลังจากนั้นเราก็แบกเป้และเดินกันต่ออีกครั้ง ลุยน้ำกันไปตอนนี้ไม่มีใครกลัวเปียกแล้ว แต่ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินเพาะก้อนหินลื่นมาก หลายคนก็ลื่นล้มไปหลายรอบเช่นกัน แต่ไม่ได้เจ็บอะไรร้ายแรง ซึ่งทุกครั้งที่ทุกคนลื่นก็มักจะจบด้วยเสียงหัวเราะ
การเดินของเราก็เจอทั้งน้ำตื้น น้ำลึก น้ำนิ่ง และน้ำแรง แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือน้ำใสและเย็นมาก จากตรงนี้เราเริ่มเดินทิ้งระยะห่างกันเล็กน้อย เพราะเป็นเส้นที่เดินตามน้ำไปเรื่อยๆ เป็นเส้นยาวและมองเห็นคนข้างหน้าและหลัง ทำให้หลายคนหยุดนั่งพัก แวะถ่ายรูปบ้าง สุดท้ายก็ยังคงเดินทาง และยังคงเดินลุยน้ำกันไป
เท้าที่แช่น้ำเย็นจนเคยชินและปรับตัวอยู่กับมันได้ละ ไม่อยากนึกถึงตอนถอดรองท้าเลยว่าจะเป็นยังไง เรายังคงข้ามน้ำไปมาจนแอบคิดว่านี่เราเดินอยู่ทางเดิมๆ อยู่รึเปล่า แม้ว่ามีบางช่วงที่ต้องขึ้นไปเดินบนฝั่ง แต่บอกเลยว่ามันไม่ง่ายเลยกับการเดินบนก้อนหิน ก้อนเล็กก้อนน้อย ที่มันสามารถพลิกได้ตลอดเวลา ทรงตัวบนขอนไม้ หรือการไต่ผาที่มีความกว้างขนาดเท่าหนึ่งคนเดินเท่านั้น ไม่ได้กลัวตกลงไปเปียก แต่กลัวตกลงไปเจ็บมากกว่า เพราะหินค่อนข้างจะแหลมคมพอสมควร
แต่แล้วในที่สุด พวกเราก็มาถึงจุดตั้งแคมป์สักที นอกจากทิ้งเป้แล้ว เราก็ทิ้งตัวลงน้ำเช่นกันเล่นกันให้หนำใจ ลงไปให้เต็มตัว ชุ่มฉ่ำและสนุกมากที่ได้เล่นน้ำกับเจ้าฝูงปลาจำนวนมาก เล่นไปเล่นมาก็เริ่มกลัวเพราะมันเยอะจริงๆ แต่ก็ไม่มีใครยอมถอยขึ้นจากน้ำสักคน
เล่นอยู่สักพัก แสงแดดที่ส่องก็หายไปเม็ดฝนล่วงหล่นลงมาและหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเราต้องรีบขึ้นจากน้ำไปเก็บของเข้าร่มเพื่อไม่ให้เปียก ซึ่งโชคดีที่พี่ๆ เจ้าหน้าที่ช่วยกันกางฟรายชีทกันฝนตรงเปลที่เราจะนอนเรียบร้อยแล้ว คืนนี้จะได้ไม่ต้องนอนเปลน้ำแน่นอน
ฝนเริ่มซาและหายไปแล้ว ซึ่งยังมีเวลาอีกนานกว่าจะค่ำ พี่ๆ เขาก็เลยจะพาเราไปเดินเล่นเลาะตามน้ำไปเรื่อยๆ ไหนๆ วันนี้ก็เปียกอยู่ละก็ให้มันเปียกกันไปเลยให้เต็มที่ทั้งวัน
ซึ่งเราก็ต้องเดินข้ามน้ำไปมาเหมือนช่วงแรก ต้องเดินลงน้ำ ไต่ขึ้นหิน ต้องใช้ทั้งมือทั้งเท้าในบางช่วงช่วย เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับตัวเอง แต่อันที่ต่างกันคือเราเดินกันแบบไม่ต้องแบกเป้มีเวลาดูและชมธรมชาติที่สร้างสิ่งที่สวยงามให้เราได้เห็น
แม้ว่าจะมีน้ำ มีหินเหมือนๆ กันแต่บอกเลยว่ามันไม่เหมือนกันจริงๆ อยากให้ทุกคนมาเห็นกับตา
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่เราจะต้องเดินเพื่อไปชมความงามของนน้ำตกสายรุ้งละอองดาวกันแล้ว ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันตรงลำธารใกล้ๆ ที่พัก ได้เห็นหมอกลอยอยู่ตามพุ่มไม้ อากาศกำลังเย็นสบาย
หลังจากที่เตรียมตัวเสร็จพวกเราก็พร้อมแล้วที่จะเดินอีกครั้ง ซึ่งเราก็ไม่ได้กังวลอะไรเพราะมันน่าจะเหมือนกับที่เราเดินแบบเมื่อวาน แต่แล้วพอเดินตามน้ำจนถึงจุดบรรจบของน้ำตกสองเส้น คือ เส้นน้ำตกละอองดาว และน้ำตกกำแพงแสน
พี่เจ้าหน้าที่ก็ตัดทางเดินเข้าป่า และเป็นทางชัน!!! ที่ชันมากระดับ 70-90 องศา และทางก็ลื่นมากเช่นกัน ความเหนื่อยและล้าเข้ามาแทนที่ แม้เดินขึ้นไปนิดเดียว ลมนิ่งสงบ แสงลอดผ่านใบไม้ส่องมาจนถึงเรา ให้หยุดมองพักหนึ่ง ดื่มน้ำและสูดหายใจให้เต็มปอด ก่อนที่จะรวมแรงกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อเดินขึ้นอีกครั้ง ค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าว แต่มันเป็นระยะทาง 1 กิโลที่ใช้เวลานานในการเดินนานมาก เพราะต้องเดินไป พักไป ไม่งั้นจะหายใจไม่ทัน
และแล้วเราก็ขึ้นมาจนถึงจุดสูงสุด แต่มันก็ยังไม่เห็นน้ำตกเลย เพราะเราต้องเดินลงไปก่อน แค่เห็นทางก็ถึงกลับถอนหายใจแล้ว พอเริ่มเดินลงก็รู้เลยว่ามันยากมากจริงๆ มือต้องจับเชือกให้แน่นและต้องค่อยๆ หาที่วางเท้าให้มั่น กว่าจะปล่อยมือ ก้าวเท้าไปทีละก้าวก็เกร็งกันสุดชีวิต
ช่วงนี้เสียงสนทนาได้เงียบหายไปพักใหญ่แล้ว กลุ่มหน้าค่อยๆ ลงไปทีละคน กลุ่มหลังก็ตามกันไปติดๆ มือเริ่มแสบ ขาเริ่มล้า แต่ก่อนที่จะหมดแรงเราก็ได้ยินเสียงน้ำตก ทำให้มีกำลังที่จะเดินอีกครั้ง แต่ก็ต้องเดินลงอีกพักใหญ่กว่าจะได้เห็นน้ำตก
น้ำตกสายรุ้งละอองดาวที่เรามาตามหาตอนนี้มันได้อยู่ตรงหน้าเราแล้ว วินาทีแรกที่เห็นบอกเลยว่าหายเหนื่อยจริงๆ ละอองน้ำพัดมาโดนตัวพอให้ชื่นใจ ที่นี่คือน้ำตกที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้ และเพิ่งค้นพบอย่างเป็นทางการได้ไม่นาน
บางคนเรียกว่าน้ำตกสายรุ้ง เพราะเวลาหน้าน้ำ ละอองน้ำจะกระทบกับแสงแดดจนเห็นสายรุ้ง ส่วนบางคนเรียกน้ำตกละอองดาว เพราะละอองของน้ำเปรียบเสมือนดวงดาวระยิบระยับสวยงาม แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่เรียก น้ำตกสายรุ้งละอองดาว แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไรมันก็ยิ่งใหญ่และงดงามมากจริงๆ
ข้างบนและรอบๆ น้ำตกเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ น้ำสีขาวที่ไหลไปตามโขดหินตัดกับสีเขียวของมอสมันชุ่มฉ่ำดีจริงๆ แต่แม้ว่าฟ้าจะเปิดบ้างในบางช่วง แต่น้ำน้อยมีละอองไม่มากพอที่จะกระทบกับแสงจนเกิดสายรุ้ง แค่นี้ก็ประทับใจเรมากแล้วกับการที่ได้เดินผ่านอะไรมากมายมายืนอยู่ตรงนี้
การเดินข้ามผ่านอุปสรรคทั้งหมดตั้งแต่เดินเข้าเมื่อวานเราได้ลืมมันไปหมดแล้ว ต่อให้ตัดสินใจใหม่ก็ไม่ลังเลเลยที่จะตอบว่ายังไงก็จะมา หลายคนใช้เวลาในการยืนแหงนมองน้ำตกอยู่นาน ดื่มด่ำกับการเก็บภาพให้เต็มที่ ยืนดูจากมุมไกลๆ มองให้กว้างๆ แล้วก็ค่อยๆ เขยิบเข้าไปหามุมมองใกล้ๆ ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ซึ่งพี่ๆ เจ้าหน้าที่จะให้พวกเราถอดรองเท้าเดิน เพราะก้อนหินลื่นมาก
น้ำตกค่อยๆ ดึงดูดให้เราเข้าไปใกล้จนตอนนี้แหงนหน้ามองแทบจะไม่ได้ละ เพราะละอองน้ำเยอะมาก เราก็เลยเปลี่ยนจากมองแล้วลงไปสัมผัสหน่อยว่าเป็นยังไง แล้วอาการก็ออกอย่างเห็นได้ชัด หนาวสั่นไปตามๆ กัน เพราะน้ำมันเย็นมากกกกกกก เราอยู่ที่นี่จนหนำใจก็ต้องโบกมือลาเพื่อเดินกลับไปยังที่พัก
พอถึงที่พัก ทุกคนก็ลงมือกินข้าวกันทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา กับข้าวมีหลากหลายมาก ทั้งจากที่เราเตรียมมาอย่างไข่เจียว ไก่ทอด กากหมู และจากที่พี่ๆ เขาทำเพิ่มอย่างแกงส้ม แกงคั่วรสจัดจ้านแบบใต้พร้อมผักอีกนานาชนิด เราก็จัดการจนเกลี้ยง ล้างจานและกอกน้ำให้พร้อม ก่อนที่จะแยกย้ายไปเก็บของเพื่อที่จะร่ำลาที่นี่จริงๆ สักที
ขากลับนี่เดินกันสบายๆ เดินไปคุยกันไป แต่ก็ยังไม่วายมีคนชวนเดินลุยน้ำ แรกๆ ก็ไม่สูงเท่าไร เราก็หลงเดินตามแต่พอเดินไปเรื่อยๆ น้ำกลับลึกขึ้นเรื่อยๆ จะถอยกลับก็ไม่ได้ ทำได้เพียงยกกะเป๋าให้พ้นน้ำก็พอ
เราเดินกลับทางเดิมแต่หยุดพักมากกว่าตอนมาเยอะเลย ไม่ใช่เพราะว่าเหนื่อย แต่จุดไหนที่สามารถลงเล่นน้ำได้เราขอลงเล่นน้ำให้หนำใจสักหน่อย ไหนๆ ก็จะกลับกันแล้ว ซึ่งก็เล่นกันจนพี่ๆ เจ้าหน้าที่ต้องเรียกให้ขึ้นเพราะเดี๋ยวเดินออกไปช้า และอาจจะถึงค่ำ
หลังจากที่ผ่านน้ำไปแล้ว เราต้องเข้าป่าเดินอีกสักพักหนึ่ง ช่วงนี้ทุกคนเดินกันเงียบมาก ก้าวเท้าตามกันไปจนในที่สุดก็ออกจากป่ามาถึงจุดที่เราลงรถเมื่อวันที่มาแล้ว ได้น้ำหวานเย็นๆ ที่เตรียมไว้รอพวกเรามันชั่งชื่นใจเสียจริงๆ
มิใช่…แค่ปลายทาง
เป็นทริปแรกที่เราจับมือกันบ่อยมาก เพราะเราต้องเดินข้ามน้ำไปมาตลอดเลย บางจุดน้ำไหลแรง บางจุดน้ำลึก มีหินลื่น ขนาดช่วยกันก็ยังแทบจะล้มกันอยู่บ่อยๆ มันเป็นทริปที่บอกเลยว่าเราต้องเชื่อใจคนที่ส่งมือมาช่วยเรา เท้าต้องยืนให้มั่นคงเพื่อช่วยอีกแรง
เจ้าหน้าที่พร้อมช่วยเราตลอดเวลา แต่พวกเราก็ไม่ทำตัวให้เป็นภาระอย่างเดียว จุดไหนที่เราช่วยกันได้ เราก็จะช่วยกันทันที เป็นอีกทริปที่บอกเลยว่าสนุกมากๆ แต่อยากให้มาลองเองมากกว่า
ในส่วนของธรรมชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง มีสิ่งสวยงามซ่อนอยู่มากมาย ทั้งดอกไม้ ใบไม้ และเห็ดที่มีสีสันและรูปทรงต่างๆ แตกต่างกันไป โดยเฉพาะเห็ดแชมเปญดึงดูดให้หยิบกล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายจนได้แม้ว่าจะเหนื่อยอยู่ก็ตาม
เก็บตก
แม้ว่าตอนแรกที่เริ่มเดินเราพยายามหลบหลีกเพื่อไม่ให้โดนน้ำ แต่พอหาทางหลบไม่ได้แล้วก็จัดไปให้เต็มที่ เดินลุยน้ำ นั่งพักในน้ำ ล้างรองเท้า หรือแม้นแต่นั่งเพื่อใส่ถุงเท้าก็ยังมาใส่ในน้ำ เพราะนั่งใส่บนบกก็ไม่มีผลอะไร ในเมื่อถุงเท้า และรองเท้าเปียกอยู่แล้ว ใส่ในน้ำแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ
ส่วนเรื่องเล่นน้ำตกไม่ต้องพูดถึง เพราะเราเล่นน้ำกันตลอดทางที่สามารถเอาตัวลงไปแช่ได้ แล้วการได้มาเห็นน้ำตกที่สูงและใหญ่ขนาดนี้ มีเหรอที่พวกเราจะยืนมองอย่างนิ่งเฉย โดดได้โดด สไลเดอร์ก็จัดจนสำลักไปหลายทีก็ยังไม่เข็ด ก็น้ำทั้งใสและเย็นขนาดนี้ ก็ต้องเล่นให้หนำใจ จะได้ไม่รู้สึกเสียใจทีหลังเมื่อกลับไปแล้ว
เป็นทริปที่เดินป่าสนุกและได้อรรถรสสุดๆ เดินลุยน้ำ ท่ามกลางสายฝนในบางช่วงเวลา แวะเล่นน้ำเป็นระยะๆ ส่งยิ้มและคุยกันตลอดทาง ประทับใจในทุกอย่างที่เราได้เจอเพราะเรามาแบบไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเป็นแบบไหน หากมีโอกาสคงได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง
สำหรับผู้ที่สนใจจะไป ชมความยิ่งใหญ่ของน้ำตกแห่งป่าใต้ สายรุ้งละอองดาว ด้วยตัวเอง สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา เบอร์โทร : 081-5367858 หรือทาง facebook
- ททท.สำนักงานชุมพร 077-502775-6 081-8264331
อาสาเที่ยวขอขอบคุณ
- การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงาน ชุมพร-ระนอง
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา
ติอตามข้อมูลกิจกรรมของ อาสาเที่ยว เพิ่มเติมได้ที่ facebook fanpage อาสาเที่ยว
วินาทีชีวิต
เป็นช่วงเวลาที่หลายคนกำลังจะเคลิ้มหลับ แต่บางคนก็หลับไปแล้วสักพัก รถตู้กำลังวิ่งมุ่งหน้าเพื่อกลับกรุงเทพฯ อยู่ดีดีก็ได้ยินเสียงระเบิดอย่างดัง หลายคนตกใจตื่น แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น จนพี่ขับรถตู้บังคับรถจนเข้าไปจอดริมถนน พวกเราก็ทยอยเดินลงมาช่วยกันสำรวจรอบๆ รถ สิ่งที่เห็นก็ทำให้ตกใจกับยางรถที่บิดเบี้ยวขนาดนั้น ยางที่ฉีกขาดจนน่ากลัว บางส่วนช่วยกันเปลี่ยนยางเพราะมียางอะไหล่ติดมาด้วย ที่เหลือก็ช่วยกันหาไฟฉายและอุปกรณ์ทุกชนิดที่พอจะเป็นสัญญานให้รถคันหลังเห็นว่ามีรถจอดเสียอยู่ ซึ่งแต่ละคนก็ยืนเรียงกันห่างเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่เข้าไปเกินเส้นถนนที่ขีดไว้เพื่อป้องกันอันตรายจากรถที่ขับมาเร็วด้วย อีกอย่างถนนเส้นนี้ก็มืดมาก
นี่คงเป็นอีกเหตุการณ์ที่เราคงไม่มีวันลืม แม้นว่าตอนที่กลับขึ้นรถเราจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะกับเหตุการณ์นี้แล้วก็ตาม แต่ช่วงที่เกิดเหตุมันยิ้มไม่ออกจริงๆ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเวลา เราต้องใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้น จะไม่ประมาทในการเดินทางในครั้งต่อๆ ไป
ใส่ความเห็น