ล่องแก่ง เก็บขยะ ลำน้ำเข็ก พิษณุโลก #อาสาเที่ยว เที่ยวด้วยใจอนุรักษ์
เราดีใจที่ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นครั้งที่ 2 แล้วก็ตาม เรายังรู้ตื่นเต้นกับการที่จะได้ล่องแก่ง ซึ่งครั้งนี้เป็นการล่องแก่งกับคนในพื้นที่ในหลายๆ ฝ่าย รวมทั้งผู้ประกอบการ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมล่องแก่งเก็บขยะที่ลำน้ำเข็ก ก่อนเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวของปีนี้ ซึ่งเราดีใจที่ได้ร่วมกับกิจกรรมในครั้งนี้
“เรา คิดว่า เราค้นพบ แนวทางของเราแล้ว”
“อาสาเที่ยว แค่ อยากให้คนไปเที่ยว ได้อะไร มากกว่า แค่ไปเที่ยว”
แม้ว่าบางคนจะเคยมาเมื่อปีก่อนกันบ้างแล้ว แต่ครั้งนี้ เพื่อนร่วมทางส่วนใหญ่กลับเป็นกลุ่มที่ยังไม่เคยมาที่นี่ ดังนั้นช่วงเวลาเดินทาง และสถานที่ก็จะไปคล้ายๆ กัน
แต่บอกเลยว่าแม้จะเคยมาแล้วก็ยังรู้สึกว่ามันไม่เหมือนครั้งนั้น เพราะเราจะเปิดรับกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ในขณะปัจจุบัน เต็มที่ไปกับเพื่อนร่วมทริป กับวันที่ฟ้าค่อยๆ เปิดให้เห็นหมอก ต้อนรับยามเช้าที่พวกเรามาถึงที่นี่พอดี
กางแผนที่
เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตอนค่ำ ด้วยสมาชิก 10 คน ไปถึงจังหวัดเพชรบูรณ์ ตอนเช้าพอดี และขึ้นไปชมวิวบนเนินเขาด้านหลังวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว มองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อน
แสงสีส้มของพระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า ตัดกับสีขาวของหมอกที่ลอยอยู่เต็มไปทั่วยอดเขา อากาศก็ดี มีลมเย็นๆ แต่หน้ายังไม่ได้ล้าง ฟันยังไม่ได้แปรง เพราะมัวเพลินกับวิวและบรรยากาศที่อยู่ตรงหน้านานไปหน่อย
ทีละก้าว ทีละก้าว
สักพักพวกเราก็เริ่มทยอยเดินลงมาตรงร้านกาแฟที่อยู่ข้างล่าง ซึ่งตรงนี้ยังมองเห็นวิวสวยๆ มีเก้าอี้ให้นั่งพวกเราก็ยิ่งมองกันเพลิน เดี๋ยวฟ้าเปิด เดี๋ยวเมฆบัง เดี๋ยวหมอกลอยผ่าน สลับกันไป จนหลายคนเริ่มท้องร้องเบาๆ
เรานั่งรถย้อนลงมาจนถึงวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ก็ขอเดินชมและไปไหว้สักการะพระที่นี่สักหน่อย วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว อยู่อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์
สถานที่อันเป็นธรรมภูมิที่งดงาม มีธรรมชาติเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ ซ้อนกันเป็นทิวเขาเรียงรายโอบรอบบริเวณศาลาปฏิบัติธรรม และบนยอดเขาสูงตระหง่าน มีถ้ำอยู่บนปลายยอดเขา ซึ่งมีชาวบ้านทางแดงหลายคน ได้เห็นลูกแก้วลอยเหนือฟากฟ้า และลับหายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา และต่างถือว่าเป็นสถานที่มงคล มีความศักดิ์สิทธิ์และเรียกตาม ๆ กันว่า “ผาซ่อนแก้ว” และเปลี่ยนมาเป็น “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” จนถึงปัจจุบัน
ที่นี่เป็นที่สอนปฏิบัติการเจริญสติปัฏฐาน ๔ โดยเน้นความเรียบง่ายเป็นหลัก เพื่อรู้จักฐานที่ตั้งของสติ ตั้งแต่กาย อารมณ์ จิตใจ เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
มหาวิหาร พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ มีขนาดฐานกว้าง 41 เมตร ยาว 72 เมตร และสูง 45 เมตร แบ่งเป็น 6 ชั้น โดยชั้นที่ 1 และ 2 เป็นที่พักของผู้เข้าปฏิบัติธรรม และบริเวณอื่นๆ ใช้เป็นที่สวดมนต์และฟังธรรม
เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต วัตถุประสงค์การสร้างเจดีย์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี
อิ่มบุญ อิ่มใจกันไปเรียบร้อยแล้วก็เดินมาหามื้อเช้ากินที่ร้านค้าใกล้ๆ ที่ยังคงสามารถมองเห็นวิวได้อย่างชัดเจน เพราะร้านมีเก้าอี้นั่งตรงริมผาพอดี
มีเมนูให้เลือกมากมาย หลากหลาย ทั้งอาหารและน้ำดื่ม บอกเลยว่าเป็นเมนูธรรมดาที่กินท่ามกลางธรรมชาติแบบไม่ธรรมดา แม้ว่าจะสายพอสมควร แสงแดดเริ่มแรงขึ้น แต่อากาศยังคงเย็นและหมอกก็ยังไม่จางหายไป
จากนั้นเรานั่งรถต่อไปยังจุดลงเรือ เพื่อล่องแก่งร่วมกัน ซึ่งครั้งนี้มีผู้คนมากมายมารวมตัวกันจนครบ และทยอยใส่เสื้อชูชีพและหมวกเพื่อป้องกันอันตรายตอนล่องแพ
หลังจากนั้นก็ล้อมวงรอบแพ เพื่อฟังการอธิบายและดูการสาธิตจากผู้เชี่ยวชาญ จะได้ทำให้การล่องแก่งสนุกยิ่งขึ้น โดยอธิบายตั้งแต่การขึ้น การนั่ง การเซฟตัวเองตอนเจอแก่งต่างๆ แต่ละตำแหน่งทำหน้าที่ยังไง ไปจนถึงการพายเรือให้ไปข้างหน้า
หลังจากฟังจบก่อนลงเรือ พวกเราก็ช่วยกันเก็บขยะจากจุดนี้ก่อน เพราะริมฝั่งก็ค่อนข้างเยอะ แต่จำนวนคนเยอะกว่าทำให้การเก็บจากจุดนี้เสร็จในเวลาอันรวดเร็ว
จากนั้นเราก็ทยอยไปเดินลงเรือ ซึ่งรวมคนพายหัวเรือและพายท้ายเรือจะอยู่ที่ประมาณลำละ 8 คน หลังจากนั่งประจำตำแหน่ง และได้ไม้พายกันแล้ว แพก็ค่อยๆ ออกจากท่า
สีน้ำต้นฤดูกาลก็จะออกสีน้ำตาลเป็นโอวัลตินแบบนี้เหมือนกันทุกๆ ปี ช่วงแรกจากจุดเริ่มต้น น้ำจะนิ่งๆ ใครที่มีไม้พายก็จะต้องเหนื่อยหน่อย ใช้แรงพายเพื่อให้เรือล่องไปตามลำน้ำข้างหน้า
ซึ่งมันก็ไม่ค่อยจะตรงสักเท่าไร เดี๋ยวก็เลี้ยวซ้าย เดี๋ยวก็เลี้ยวขวา พี่คนที่อยู่ข้างหน้าและข้างหลังช่วยพวกเราได้เยอะเลย ช่วงแรกเราก็พายตามกันไปเรื่อยๆ ช่วยกันสอดส่องขยะตามริมตลิ่งไปด้วย ซึ่งก็มีบ้างเล็กน้อย
ช่วงนี้น้ำก็ยังคงนิ่ง เรายังคงช่วยกันพายอย่างต่อเนื่อง มีสลับตำแหน่งกันบ้างหากใครเมื่อย เอ้า!!! พายๆๆ ซ้ายขวาซ้าย จนมาถึงจุดที่น้ำในแม่น้ำจะนิ่งยาวไปอีกไกล และสามารถให้เราลงเล่นน้ำได้
ได้ยินแค่นั้น ทุกคนก็พร้อมใจกันโดดตูมตามๆ กันไป เย็นชื่นใจมาก แม้ว่าสีจะออกแดงๆ ก็ตาม พวกเราว่ายลอยตัวปล่อยไปตามแรงน้ำจนเพลิน จนพี่ๆ ต้องเรียกขึ้น
หลังจากพายไปได้อีกสักระยะพี่คนที่อยู่หัวเรือก็ให้พวกเราช่วยพายย้อนกลับทวนน้ำ ฝ่ากิ่งไม้แทรกเข้าไปเพื่อขึ้นฝั่ง แต่ก่อนขึ้นเราก็เจอขยะอยู่พอสมควรตรงริมตลิ่ง
อยู่ใกล้ก็ใช้มือหยิบ อยู่ไกลก็ใช้ไม้พายเขี่ยมา เก็บใส่ถุงที่เตรียมมา ส่วนขยะที่อยู่บนฝั่งก็ค่อยๆ ช่วยกันเก็บเพราะจุดนี้ขยะที่พัดมาตามน้ำ ช่วงหน้าฝนที่น้ำเยอะๆ แต่พอน้ำลดลงขยะจะตกค้างอยู่มากมาย เรือลำเราใช้เวลาเก็บจุดนี้จนโดนลำอื่นๆ แซงนำหน้าไปแล้ว
เราขึ้นเรืออีกครั้งพายตามลำหน้าไป ซึ่งตอนนี้ทุกลำจอดเพื่อให้คนเหยียบกิ่งไม้แทรกตัวเข้าไปค่อยๆ เก็บขยะ บางคนก็ว่ายน้ำพยายามพาตัวเองเข้าไปหวังเพียงเพื่อจะเก็บขยะให้หมด จุดนี้มีกิ่งไม้ระโยงระยางไปทั่วจนเรือไม่สามารถพายเข้าไปได้ และก็ทำให้ขยะติดค้างอยู่ข้างในจำนวนมาก
แต่เราก็ช่วยกันเก็บโดยใช้เวลาไม่นาน ขยะก็หมด คนทยอยขึ้นเรือแล้วพายไปกันต่อ จากตรงนี้ยาวเรื่อยไปอีกสักระยะก็ไม่มีจุดที่ขยะตกค้างใหญ่ๆ อีกแล้ว เราก็ทำเพียงแค่เก็บขยะตามทางไปเรื่อยๆ ซึ่งมันคือผลดี ที่เราไม่เจอขยะ เราพายมาจนถึงจุดพักที่จะต้องขึ้นไปทานมื้อเที่ยงบนฝั่ง จัหนักกันไปเพราะสูญเสียพลังงานไปเยอะ
ขยะช่วงแรกที่เก็บได้ถูกนำขึ้นมาบนฝั่งด้วย ซึ่งขยะที่เก็บได้ก็เต็มไปหลายถุง เราทานมื้อเที่ยงและนั่งคุยกันอยู่สักพัก ก่อนที่จะลงเรือเราก็ช่วยกันเก็บขยะรอบๆ บริเวณนี้ก่อน แล้วทุกคนก็พร้อมลงเรือในช่วงบ่ายอีกครั้ง
ได้พักแล้วแรงก็มา บวกกับช่วงบ่ายเราจะได้ตื่นเต้นกับการล่องแพแผ่านหลายต่อหลายแก่งที่มีตั้งแต่ระดับ 2-5 ซึ่งพวกเราพร้อมอยู่แล้ว
พายไปเรื่อยๆ เราก็ได้ยินเสียงน้ำดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เรือเราผ่านแก่งแรกและทุกลำก็ตามมา เสียงกรี๊ดดังไปทั่วบริเวณแม้ว่าจะไม่ใช่ระดับที่แรงมากก็ตาม น้ำแค่เข้าเรือมานิดหน่อยก็แตกตื่นแล้ว ทุกคนนั่งยึดอยู่ตำแหน่งเดิมได้เป็นอย่างดี
แต่เพียงไม่นานก็เจอแก่งยาก ต่างระดับกันมาก พอเรือเข้าไปใกล้คนพายข้างหน้ากับข้างหลังก็บอกให้เราเก็บไม้พายแล้วจับเชือกให้มั่น พอหัวเรือทิ่มลงไปข้างล่างน้ำเข้ามาเต็มเรือ กระเด็นใส่หน้า ใส่ปากที่กำลังกรี๊ดอยู่ ลุ้นตัวโก่ง และแล้วเราก็รอดประคองเรือไม่ให้คว่ำจนได้
จากนั้นเราก็ช่วยกันพายเพื่อไม่ให้เรือหมุนเข้าฝั่งข้างๆ พยายามประคองให้เรือไปข้างหน้า ซึ่งตอนนี้ทุกคนในลำเรือเต็มไปรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ มันทั้งสนุกและสะใจดี
หลังจากนั้นเราก็พายเรือไปเรื่อยๆ และยังเจอแก่งต่างๆ อีกเยอะ ทั้งเล็กทั้งใหญ่ เรือเอียง น้ำท่วมเรือ เราก็ไม่หวั่น ช่วยกันพาย ช่วยกันกรี๊ด และที่สำคัญเราต้องช่วยไม่ให้สมาชิกบนเรือตกออกนอกลำเรือด้วย ผ่านไปแก่งหนึ่งก็เรียกร้องเพื่อเจอแก่งต่อไปเลย พร้อมลุยอยู่แล้ว เอาอีกๆ
แต่แล้วเราก็มาถึงแก่งสุดท้ายของวันนี้ สนุกกันเต็มที่และทำภารกิจที่ตั้งใจมาทำขนสำเร็จแล้วเช่นกัน เราทยอยขึ้นฝั่งพร้อมถุงขยะที่เต็มไปด้วยขยะจากที่ช่วยกันเก็บมาตลอดทาง
นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ที่ยังทำให้หลายคนร้องโอ้โห เพราะขยะมีทุกประเภทจริงๆ มีตั้งแต่ชิ้นเล็กไปจนถึงชิ้นใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นพลาสติก ขวดแก้ว โฟม รองเท้า หลอด ฯลฯ แม้ว่ามันยังไม่หมดแต่เราก็รู้สึกดีเพราะอย่างน้อยมันก็ลดลง ซึ่งเราหวังเพียงต้องการให้คนที่เห็นคิดสักนิดในการทิ้งขยะครั้งต่อไป
ส่วนอีกกลุ่มที่ยังคงสนุกและไม่ยอมขึ้นฝั่ง ยิ่งเห็นพี่ๆ เขาคว่ำเรือเพื่อล้างเรือมีรึที่เราจะยืนมองเฉยๆ รีบย้ายไปเรือลำที่จะล้างทันที อยากช่วยล้างเรือรึอยากเล่นน้ำก็ไม่รู้ แต่ความรู้สึกตอนนั้น ทั้งตื่นเต้น และสนุกปนๆ กัน พอพายเรือให้ไปอยู่กลางน้ำแล้วเราก็ย้ายมานั่งฝั่งเดียวกัน แต่ยังไม่ได้ทำใจเลย พี่เขาก็ดึงเรือคว่ำซะงั้น แหมไม่คิดจะ่งสัญญานกันเลยนะคะ ดีที่ทุกคนกระเด็นออกมาไม่มีใครติดอยู่ใต้ลำเรือ ซึ่งตอนคว่ำเรือนี่ก็สนุกพอๆ กับล่องผ่านแก่งต่างๆ มาเลย
หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าไปยังบ้านพักที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า แวะซื้อของกินมื้อเย็นที่ตลาดระหว่างทาง แม้ว่าจะเหนี่อยมาตั้งแต่เช้าแต่กว่าจะแยกย้ายกันนอนก็ดึกพอสมควรแล้ว
แต่เราก็สามารถตื่นเช้าเพื่อไปเดินเรียนรู้ ชมเส้นทางประวัติศาสตร์และความมหัศจรรย์ของธรรมชาติของลานหินปุ่ม แค่ลงจากรถก็ได้สัมผัสอากาศถึงความเย็นรอบๆ ตัว สูดกันให้เต็มปอด ก่อนเริ่มเดินเข้าไปข้างใน
เราค่อยๆ เดินผ่านลำธารที่มีเด็กๆ ชาวเขามานั่งขายของ และเดินตามแผนที่ที่มีอยู่ด้านหน้าเลย ซึ่งสามารถเดินวนเป็นวงกลม และมีป้ายบอกอย่างชัดเจนในแต่ละเส้นทาง
เราเลือกเดินเลี้ยวไปทางด้านซ้ายก่อนเริ่มจากจุดที่มีปืนต่อสู้ท่าอากาศยานตั้งเด่นอยู่กลางแจ้งที่หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะขอลองจับดู ทำท่าทางประหนึ่งว่ากำลังต่อสู้กับข้าศึกอยู่ยังไงยังงั้นเลย
หลังจากนั้นก็เดินตามทางไปเรื่อยๆ ผ่านโขดหิน ต้นไม้น้อยใหญ่จนไปเจอ “ใบบีโกเนีย” ที่มีความงดงามใตัวของมันเอง ซึ่งเมื่อเรามองจากด้านล่างขึ้นไปจะเห็นใบไม้สีแดง และมันก็เป็นใจขึ้นอยู่ตามโขดหินสูงๆ แซมด้วยใบไม้สีเขียวอ่อน บอกเลยว่าอยู่จุดนี้กันนานเลย
แต่พอเราเดินไปอีกนิดถึงกับร้องโอ้โห เพราะมันขึ้นอยู่เต็มกำแพง ตั้งแต่ด้านล่างจนไปถึงข้างบน อลังการและเยอะกว่าจุดก่อนหน้านี้มากๆ บอกเลยว่าอยู่กันยาว ถ่ายกันเพลินจนต้องมีคนมาตามเพื่อให้ไปเดินจุดอื่นได้แล้ว
เราเดินเข้าไปข้างในสุดที่มีสำนักอำนาจรัฐ และที่หลบภัยทางอากาศให้เราได้ดูพร้อมทั้งข้อมูล ซึ่งจากตรงนี้เราต้องเดินวนกลับมาตามทางเพื่อจะไปผาชูธง ชมธรรมชาติรอบๆ ไปเรื่อยๆ ไม่รีบ เพราะอากาศยังถือว่าเย็นอยู่ เราก็เลยเดินไป แวะถ่ายรูปไป ตลอดทาง
ในที่สุดเราก็เดินมาถึงผาชูธง เป็นหน้าผาสูงจากน้ำทะเล 1,304 เมตร สามารถเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกลโดยเฉพาะภาพวิวพระอาทิตย์ตกดินจะสวยงามไม่แพ้จุดชมวิวอื่น ๆ บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่ซึ่งผกค.จะขึ้นไปชูธงแดง (ฆ้อนเคียว) ทุกครั้งเมื่อรบชนะ
ซึ่งช่วงที่เรามาอากาศดีมาก แดดไม่แรง เรานั่งรับลมชมวิว สูดอากาศให้เต็มปอดก่อนที่จะเดินตามทางที่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่งดงามไปริมผาอีกฝั่งหนึ่งที่มีลมพัดแรงและเย็นสบายมาก นั่งกันเพลินไม่อยากลุกกันเลย
เรายังคงเดินไปเรื่อยๆ ตามทางที่มีต้นไม้นานาชนิด บางช่วงก็มีดอกไม้บานเป็นระยะๆ ตามซอกหิน ใต้บันไดไม้ ทำให้ดูสดชื่นไปอีก เพราะแดดที่เป็นใจทำให้เราเดินไป แวะพักไป ถ่ายรูปเป็นจุดๆ ท้าลมไปเรื่อยๆ
แต่ในที่สุดเราก็มาถึงลานหินปุ่มที่อยู่ริมหน้าผา มีหินผุดขึ้นมาเป็นปุ่มเป็นปมขนาดไล่เลี่ยกัน คาดว่า เกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหิน ในอดีตบริเวณนี้ใช้เป็นที่พักฟื้นคนไข้ของโรงพยาบาล เนื่องจากอยู่บนหน้าผามีลมพัดเย็นสบาย ซึ่งเราก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ
บรรยากาศที่เป็นใจทำให้เราไม่ได้รู้สึกเหนื่อยมากเท่าไรแม้ว่าจะเดินมาไกลพอสมควร แต่เราก็ใช้เวลาในการถ่ายรูปไม่นาน เพราะนักท่องเที่ยวเยอะมากในจุดนี้
เราเดินวนกลับเป็นวงกลมเพื่อไปอีกทางที่มีลานหิน ต้นไม้และก้อนหินที่มีรูปทรงต่างๆ ให้เราได้จินตนาการตามก็ทำให้เพลิน และเดินจนถึงทางออกแบบยังไม่รู้สึกเหนื่อย แต่พอออกมาถึงตรงที่จอดรถก็เดินหาของกินกันใหญ่เลย
หลังจากนั้นเราขึ้นรถและแวะเดินเข้าไปชมกังหันน้ำ ที่อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนการเมืองการทหาร ที่เดินเข้าไปไม่ไกล เป็นกังหันน้ำขนาดใหญ่ ถูกสร้างขึ้นจากการผสมผสานความคิดก้าวหน้าทางวิชาการ กับการนำประโยชน์จากธรรมชาติมาใช้งาน
แม้ว่าตอนนี้กังหันจะพังไปตามกาลเวลาแต่ก็ยังหลงเหลือให้เราเห็นถึงความยิ่งใหญ่ ด้านหลังเป็นน้ำตกที่รายล้อมเต็มไปด้วยต้นไม้ น้ำที่ค่อยๆ ไหลลดหลั่นตามชั้นลงมารวมกันเป็นแอ่งใหญ่ทำให้เราอดใจไม่ไหวลงไปเอาเท้าแช่น้ำสักหน่อยก็ยังดี
บอกเลยว่าเย็นมาก สดชื่นสุดๆ ถ้าไม่ติดว่าต้องรีบกลับอาจจะลงเล่นน้ำกันทั้งตัวแน่ๆ
เรากลับกรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางที่ผ่านภูทับเบิก เพื่อแวะไปชมวิวสักหน่อย ซึ่งสุดท้ายก็ได้แค่ชมวิวเพราะช่วงเวลาที่เราไปไร่กะหล่ำถูกเก็บไปหมดแล้ว มีแต่ที่พักที่เกิดขึ้นมาอย่างมากมายจนแทบจะไม่มีทางเดินอยู่แล้ว
แต่โชคดีช่วงที่เราไปผู้คนไม่ได้พลุกพล่านเหมือนช่วงเทศกาล เรานั่งแวะพักจิบชามองหมอกที่ยังคงลอยอยู่ตามสันเขาอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ บอกเลยว่ากว่าจะผ่านเส้นนี้ไปได้ แทบอ้วก ใครเมารถถ้าไม่หลับควรกินยาแก้เมารถไว้เลย เพราะโค้งมันเยอะมากจริงๆ
มิใช่แค่ปลายทาง
ทริปนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่ชอบถ่ายรูป ใช้กล้องเล็ก กล้องใหญ่ แม้แต่มือถือ ถ่ายกันเพลินเลยเพราะว่าธรรมชาติที่นี่ดึงดูดให้พักเราหยุดก้มดู แม้ว่าจะเป็นจุดเล็กๆ ก็ไม่พ้นสายตาเราไปได้ ถ่ายกันจริงจัง ก้มส่องกันไปไม่มีใครห้ามใคร เพราะทุกคนอยู่ในโลกของตัวเองหมดแล้ว แต่เราก็ยังเกาะกลุ่มไปพร้อมๆ กันนะ
เก็บตก
แต่พวกเราก็ไม่ได้เป็นตากล้องอย่างเดียวนะ ยังสามารถเป็นนายแบบนางแบบ ได้ทันทีที่กล้องหันมาทางเรา จะถ่ายเดี่ยว ถ่ายกลุ่ม ให้ทำท่านั้นท่านี้ ขอแค่ตากล้องสั่งมาเราจัดให้ เอียงซ้ายเอียงขวา ยกแขน ทำได้หมด แค่ตากล้องถ่ายให้ทันท่าที่เราเปลี่ยนก็พอ
ทริปนี้เป็นอีกทริปที่เราทำกิจกรรมแบบสบายๆ และทุกช่วงเวลาจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะตลอด เจอกันทริปหน้าอีกน๊า
ติอตามข้อมูลกิจกรรมของ อาสาเที่ยว เพิ่มเติมได้ที่ facebook fanpage อาสาเที่ยว
อาสาเที่ยว ขอขอบคุณ
- การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพิษณุโลก
- ชมรมรักน้ำเข็ก
- อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
ใส่ความเห็น